ประเทศบอตสวานา
ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจแห่งแอฟริกา และความท้าทายใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
ประเทศบอตสวานา หรือ สาธารณรัฐบอตสวานา เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภาคใต้ของแอฟริกา ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีเมืองหลวง คือ กรุงกาโบโรเน มีชื่อเสียงจากการทำอุตสาหกรรมเหมืองเพชร และด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพราะอุดมไปด้วยสัตว์ป่าโดยเฉพาะเป็นที่อยู่ของช้างแอฟริกา ในอดีตนั้นบอตสวานาเคยเป็นรัฐอารักขาของสหราชอาณาจักรในชื่อ Bechuanaland ต่อมาใน ค.ศ. 1966 บอตสวานาได้รับเอกราช หลังจากการได้รับเอกราชนั้นบอตสวานาเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกที่มี GDP ต่อหัวอยู่เพียง 518 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 2018 GDP ต่อหัวอยู่ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8,031 ดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือ GDP ต่อหัวเติบโตขึ้นร้อยละ 1,450 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของการเติบโตของทั้งโลกซึ่งอยู่ที่เพียงร้อยละ 136 และผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศก็เพิ่มขึ้นจาก 51,464,435 ดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 1966 เป็น 18.663 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 2018 สถิติดังกล่าวทำให้บอตสวานาเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วที่สุดในโลก จากความสำเร็จทางเศรษฐกิจในข้างต้นทำให้บอตสวานานั้นได้ถูกขนานนามว่าเป็น “สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของแอฟริกา” ซึ่งปัจจัยที่สำคัญต่อการทำให้บอตสวานากลายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จนั้นมีดังนี้
ปัจจัยแรก บอตสวานานั้นอุดมไปด้วยอัญมณีที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แหล่งอัญมณีที่สำคัญของประเทศถูกค้นพบเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลในประเทศที่เป็นเจ้าของว่าครึ่งหนึ่งของอัญมณีทั้งหมดทำให้รัฐบาลมีรายได้สูง โดยใน ค.ศ. 2020 บอตสวานาเป็นประเทศที่ส่งออกอัญมณีมากเป็นอันดับ 1 ของแอฟริกา และเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่มียอดการส่งออกอัญมณีสูงถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยล่ะ 5.1% ของการส่งออกอัญมณีทั้งโลก
ปัจจัยที่สอง การให้ความสำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศของบอตสวานา หลายประเทศในแอฟริกาที่แม้จะร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เช่น น้ำมัน ทองคำ เพชร แต่กลับเผชิญกับความยากจน และความขัดแย้งทั้งภายใน และภายนอก บอตสวานานั้นต่างกับหลายประเทศตรงที่มีความรอบครอบในการดำเนินนโยบาย รัฐบาลที่เป็นเจ้าของเหมืองเพชรในประเทศกว่าครึ่งหนึ่งก็นำรายได้จากการค้าเพชรมาสนับสนุนการพัฒนาทางสังคม สาธารณสุข และการศึกษา ส่งผลให้ความยากจนลดลง อัตราด้านสุขภาพ และอัตราการรู้หนังสือของประชาชนในประเทศสูงขึ้น
ปัจจัยที่สาม มั่นคงของสถาบันทางการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตย และเสรีภาพทางเศรษฐกิจ บอตสวานานั้นไม่เคยเผชิญหน้ากับการรัฐประหารเหมือนกับประเทศอื่นในแอฟริกา ดังเช่น มาลี ซูดาน ซิมบับเว และความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ที่รุนแรงหากเปรียบเทียบกับประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ หลังได้รับเอกราช รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีคนแรก Seretse Khama ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในด้าน สังคม สาธารณสุข และการศึกษา ประกอบกับการปกครองภายใต้หลักนิติรัฐ ธรรมาภิบาลที่ดี สนับสนุนความเป็นเสรีประชาธิปไตย จากการวางรากฐานดังกล่าวในดัชนีการรับรู้การทุจริตในปี 2020 ได้รายงานว่าในทวีปแอฟริกาบอตสวานาเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศเซเชลส์ และเป็นอันดับที่ 35 ของโลก ซึ่งเท่ากับ ประเทศบูรไน อิสราเอล ลิทัวเนีย และสโลวีเนีย ที่มีการคอรัปชั่นที่น้อยที่สุดในโลก ประกอบกับดัชนีประชาธิปไตยจากสื่อสำนัก The Economist นั้นได้จัดอันดับให้บอตสวานาอยู่ในอันดับที่ 29 ของประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในระดับกลางค่อนสูง โดยที่ผ่านมาบอสวานานั้นก็มีคะแนนความเป็นประชาธิปไตยอยู่ราว ๆ 7.5 จาก 10 คะแนน ซึ่งสถิติดังกล่าวนั้นมากกว่า อิตาลี แอฟริกาใต้ และไต้หวัน จึงทำให้เป็นประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยที่สูงที่สุดในแอฟริกา ซึ่งการวางรากฐานของความเป็นประชาธิปไตยนั้นมาพร้อมกับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่เน้นกับความเป็นมิตรต่อตลาด เสรีภาพทางเศรษฐกิจ การปกป้องทรัพย์สินส่วนบุคคล ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเป็นไปอย่างมั่นคง ทั้งนี้ในด้านเสรีภาพในด้านต่าง ๆ ของบอตสวานา มีเสรีภาพเป็นอันดับที่ 58 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของแอฟริกา ที่ 7.35 คะแนน และอิสรภาพทางเศรษฐกิจที่ 7.60 คะแนน ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่วนที่ช่วยให้สถาบันทางการเมือง และเศรษฐกิจของบอตสวานานั้นมีความเข้มแข็ง
แต่อย่างไรก็ตามบอสวานาก็กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ขณะนี้มีอัตราการตกงานที่สูงขึ้นกว่าร้อยละ 24.5% ค่าครองชีพที่สูงขึ้น อัตราการติดเชื้อ HIV/AIDS ที่สูง ปัญหาการอพยพเข้าประเทศของชาวซิมบับเวจากปัญหาทางเศรษฐกิจในประเทศ ในด้านการเมืองพรรคที่ครองตำแหน่งสำคัญทางการเมืองส่วนใหญ่ คือ พรรคพรรคประชาธิปไตยบอสวานา หรือ Botswana Democratic Party (BDP) ก็ได้เสื่อมความนิยมลง ถูกกล่าวหาว่ามีความเป็นเผด็จการ และมีการควบคุมเสรีภาพของสื่อมากขึ้น เศรษฐกิจของบอตสวาที่ต้องพึ่งพารายได้จากการการส่งออกเพชรกว่าร้อยละ 90 ก็ประสบกับความไม่แน่นอนของราคาที่มีความผันผวน และมีการคาดการณ์กันว่าทรัพยากรเพชรของประเทศจะหมดลงในเวลาประมาณ 25 ปี แม้ว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะส่งเสริมความหลากหลายทางเศรษฐกิจแต่ความพยายามดังกล่าวยังไม่เกิดผลสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบอตสวานานั้นเป็นประเทศที่ไม่มีส่วนที่ติดกับทะเลทำให้ต้องพึ่งพาการนำสินค้าเข้าจากแอฟริกาใต้ และนามิเบีย โดยใน ค.ศ. 2019 บอตสวานานั้นต้องพึ่งพาการนำเข้าจาก ทั้ง 2 ประเทศรวมร้อยละ 66.22 ทำให้ค่าใช้จ่ายการนำเข้า และส่งออกสินค้านั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอย่างมาก แม้ว่ารากฐานของเศรษฐกิจจะเปิดกว้าง และมีความมั่นคงของสถาบันทางการเมือง แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศยังน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โมซัมบิก นามิเบีย ดัชนีความสามารถในการแข่งขันทั่วโลกของ World Economic Forum ก็ได้ระบุว่าความสามารถในการแข่งขันของบอตสวานา และหลายประเทศในแอฟริกาลดลงอันเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และในด้านความไม่เท่าเทียมระหว่างปี ค.ศ. 2010 ถึงปี 2015 รัฐบาลจะสามารถลดความไม่เท่าเทียมลงได้จากร้อยละ 60.5 เป็น ร้อยละ 53.3 แม้ว่าจะสามารถลดลงได้เยอะก็ตามแต่ก็ระดับของความไม่เท่าเทียมภายในประเทศยังค่อนข้างสูง จากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลของบอตสวานาจึงจะต้องแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต